ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นบนข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอและมุ่งเน้นกลับไปที่ความเสี่ยงการเจริญเติบโตอีกครั้ง
ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นบนข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอและมุ่งเน้นกลับไปที่ความเสี่ยงการเจริญเติบโตอีกครั้ง
ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นในวันพฤหัสบดีเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอสะท้อนความกลัวต่อการเติบโตทั่วโลกในขณะที่การฟื้นตัวขอทองคำจากระดับต่ำสุดในรอบสี่เดือนและภาพทางเทคนิคที่ได้รับการปรับปรุงทำให้นักลงทุนบางส่วนต้องปิดสถานะขายสิทธิของพวกเขา
ตลาดทุนทั่วโลกปรับตัวลดลงเนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจเยอรมันและเกาหลีใต้ร่วงลงอย่างน่าประหลาดใจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
การปรับฐานในตลาดหุ้น ได้ช่วยสนับสนุนทองคำ แต่ตลาด (ทองคำ) ยังคงมองหาตัวเร่งปฏิกิริยาใหม่ๆสำหรับการเคลื่อนไหวที่สำคัญและไม่มีแรงผลักดันในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ทองคำกำลังรอการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ หลังตลาดได้รับข้อมูลการเปิดเผย GDP ของสหรัฐอเมริกาและคาดว่าจะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อดอลลาร์
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสแรกของสหรัฐในวันศุกร์นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า GDP สหรัฐจะขยายตัว 2.1% อย่างไรก็ดี ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองการคาดการณ์ GDPNow แสดงให้เห็นว่า GDP สหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 2.2-3.4% ในไตรมาสแรก
ราคาทองได้ฟื้นตัวขึ้นจากระดับ $1,265.90 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือนที่ทำไว้ในสัปดาห์นี้ แม้มีการคาดการณ์ว่าราคาทองอาจดิ่งลงแตะ $1,250.00 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ยรอบ 200 วัน (200-DMA)
ราคาทองคำค่อนข้างมีความยืดหยุ่นในขณะนี้ ซึ่งเรายังไม่สามารถเห็นส่วนขยายของการฝ่าวงล้อมทางเทคนิคที่เราเห็นในสัปดาห์นี้
ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอในตลาดทองคำยังสะท้อนให้เห็นในการถือครองของกองทุน SPDR Gold Trust กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยนทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกลดลง 0.2% แตะ 747.87 ตันในวันพุธซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม
ข้อมูลเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้น 37,000 ราย สู่ระดับ 230,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 หลังจากร่วงลงแตะระดับ 193,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2512
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2.7% ในเดือนมีนาคม หลังจากลดลง 1.1% ในเดือนกุมภาพันธ์ โดยการพุ่งขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนมีนาคมได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวของคำสั่งซื้อในภาคขนส่ง
ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว จากอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นสำหรับคอมพิวเตอร์ และสินค้าด้านอิเลคทรอนิคส์ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนกุมภาพันธ์.