จ่อขยับขึ้นค่าไฟฟ้า! หลังมีการปรับค่าเอฟที
หนาว!เอฟทีงวดใหม่ขยับขึ้น8.9สต. กกร.จี้เลิกประชานิยมหวั่นปัญหาเงินเฟ้อ
เรกูเลเตอร์เคาะค่าเอฟทีงวดเดือน พ.ค. ส.ค. 2554 ขึ้น 8.93 สตางค์ต่อหน่วย เหตุราคาก๊าซ-น้ำมันแพงทำต้นทุนพุ่ง เผยหากให้ขึ้นสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงต้องขึ้น 13.78 สตางค์ต่อหน่วย ภาคเอกชนหวั่นรัฐบาลใหม่เดินหน้านโยบายประชานิยมดันเงินเฟ้อพุ่งจนคุมไม่อยู่
นางพัลลภา เรืองรอง กรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สกพ.) หรือเรกูเลเตอร์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) ว่า ที่ประชุมเห็นควรให้ดึงเงิ- นที่เรียกคืนจาก 3 การไฟฟ้าที่ไม่มีการลงทุนจริง (Call Back)จำนวน 2,600 ล้านบาท มาช่วยเกลี่ยเพื่อค่าเอฟทีที่จะเรียกเก็บในรอบบิลเดือน พ.ค.-ส.ค.2554 นี้ ลงเหลือ 8.93 สตางค์ต่อหน่วย เพื่อลดภาระประชาชนและผลกระทบต่อราคาสินค้า จากเดิมที่จะต้องปรับขึ้น 13.78 สตางค์ต่อหน่วย ตามต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น โดยราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าย้อนหลัง 6 เดือนอยู่ที่ระดับ 250 บาทต่อล้านบีทียู ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 120 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
"ความจริงเรามีเงินที่เรียกเก็บคืนจากทั้ง 3 การไฟฟ้าอยู่ที่ 9,500 ล้านบาท ซึ่งหากจะใช้ทีเดียวทั้งหมดก็สามารถทำได้ แต่เห็นว่าราคาก๊าซธรรมชาติที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าในช่วง 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีก จึงทยอยใช้เพื่อลดภาระประชาชน และวิธีนี้ก็ทำให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ไม่ต้องมีภาระ" นางพัลลภา กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการเรกูเลเตอร์จะนำรายละเอียดการพิจารณา และอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร อัตโนมัติ (เอฟที) ที่จะใช้ในรอบบิลเดือน พ.ค.-ส.ค.2554 นี้ ลงประกาศในเว็บไซต์ของเรกูเลเตอร์
www.erc.or.th เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
สำหรับ ค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) อัตราใหม่นี้ จะใช้เพียงแค่ 2 เดือนก่อน(งวดเดือน พ.ค.-มิ.ย.2554) หลังจากนั้นก็จะรอโครงสร้างค่าไฟฟ้าใหม่ที่จะใช้ในช่วง 5 ปีนี้ออกมา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการส่งสัญญาณจากฝ่ายการเมืองให้มีการตรึงค่าไฟฟ้าต่อ
นาย เจน นำชัยศิริ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า วันนี้ (4 พ.ค.) ส.อ.ท.จะส่งหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ถึงกรณีการปรับราคาแอลพีจีภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการให้รัฐบาลได้พิจารณาถึง แนวทางการช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมแก้ว กระจก และเซรามิกที่จะได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว
ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ประกอบด้วย ส.อ.ท.สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ว่า ขณะนี้ภาคเอกชนมีความกังวลเกี่ยวกับระดับเงินเฟ้อ เนื่องจากรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมในการตรึงราคาสินค้า ซึ่งหากรัฐบาลใหม่ที่เข้ามาใหม่ยังใช้นโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ ก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถควบคุมได้ เห็นว่ารัฐบาลควรใช้นโยบายผ่อนคลายราคาสินค้า โดยพิจารณาจากต้นทุนที่แท้จริง
"ระดับเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นภาวะเทียม เพราะรัฐบาลยังคุมราคาสินค้าอยู่ เพราะหากปล่อยให้ราคาสินค้าขึ้นตามจริงก็จะทำให้มีอัตราสูงกว่านี้ โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะยังคงนโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ และ มีความกังวลว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็จะยังใช้นโยบายตรึงราคาสินค้าต่อ ซึ่งหากกดราคาสินค้าไว้นานก็ห่วงว่าจะระเบิด และลุกลามไปเป็นปัญหาระดับ ภูมิภาค ซึ่งก็หวังว่าไทยคงไม่ถึงขั้นนั้น" นายพยุงศักดิ์กล่าว
สำหรับ ภาพรวมการยอดส่งออกรถยนต์ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2554 นี้ คาดว่าน่าจะปรับตัวลดลง แม้ว่าจะมียอดคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามา แต่ผู้ประกอบการไม่สามารถผลิตได้ตามออเดอร์เพราะชิ้นส่วนมีไม่เพียงพอ