Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /var/www/vhosts/taradthong.com/httpdocs/webboard/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3

Deprecated: preg_replace(): The /e modifier is deprecated, use preg_replace_callback instead in /var/www/vhosts/taradthong.com/httpdocs/webboard/Sources/Load.php(225) : runtime-created function on line 3
 Calibrate battery คืออะไร ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไรบ้าง
TARADTHONG.COM
ธันวาคม 25, 2024, 08:55:18 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: ตลาดทองดอทคอม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

Copy Code


หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: Calibrate battery คืออะไร ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไรบ้าง  (อ่าน 8015 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
น่ารักสุดๆ
Administrator
Hero Member
*****

คะแนนความนิยม: 2330
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1658



ดูรายละเอียด เว็บไซต์
« เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 02:27:11 PM »

Calibrate battery คืออะไร ทำไมต้องทำ ทำแล้วได้อะไรบ้าง

ปัญหากวนใจของคนที่ใช้ notebook เลยก็คือเรื่องแบตเตอรี่นี่ละครับ สังเกตได้จากการที่มีคนทั้งเข้ามาถาม ทั้งโพสต์ถามอย่างมากมายว่าทำไมถึงใช้งานแบตได้ระยะเวลาน้อยลง จะแก้ไขอย่างไร ใช้วิธีนู่นนั่นนี่จะช่วยได้หรือไม่

ดังนั้น ทาง NBS เราจึงได้เรียบเรียงความรู้เกี่ยวกับการ calibrate มาให้ทุกท่านได้อ่านกัน เราไปเริ่มต้นเลยดีกว่านะ




การ Calibrate คืออะไร ?

การ Calibrate ก็คือ การจัดการให้แบตเตอรี่สามารถแสดงความจุและใช้งานได้เต็มความสามารถที่ตัวแบ ตเองเหลืออยู่ อีกทั้งยังช่วยลดค่า Wear Level (ค่าความเสื่อมของ battery) ลงได้บ้าง นั่นหมายความว่า เราจะสามารถใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานเพิ่มขึ้นบ้างนั่นเอง อย่างเช่น เดิมตอนซื้อมาสามารถใช้งานได้นาน 3 ชั่วโมง ก่อน Calibrate อาจจะเหลือระยะเวลาได้เพียง 1 ชั่วโมง หลัง calibrate อาจจะเพิ่มเวลาได้ถึง 2 ชั่วโมงนิด ๆ ก็ได้



ทำไมต้อง Calibrate ?

ก็เพราะเราต้องการให้แบตเตอรี่สามารถแสดงความสามารถของมันเท่าที่เหลือ อยู่ได้อย่างเต็มที่ที่สุดนั่นเองครับ โดยวิธีการก็คือ ใช้งานแบตจนหมดนั่นเอง จากนั้นจึงทำการชาร์จใหม่ให้เต็ม ซึ่งอาจจะต้องทำติด ๆ กันหลายรอบหน่อย จึงจะเห็นผลครับ

Calibrate แล้วได้อะไร ?

ข้อดี

1. ความจุของแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้นเท่าที่มันสามารถทำได้

2. แบตเตอรี่สามารถแสดงค่าและข้อมูลของตัวเองได้อย่างถูกต้อง

ข้อเสีย

1. แบตอาจจะเสื่อมเร็วขึ้น



2. เสียเวลาในการทำพอสมควร แนะนำว่าควรจะทำเมื่อมีงานอื่นที่ต้องทำ จะได้ปล่อยมัน Calibrate ไป เราก็ได้ทำงานอื่นไปด้วย ขืนมานั่งจ้องก็แทบไม่ได้ทำอะไรกันพอดี

Calibrate เองได้หรือเปล่า

แน่นอนครับ ว่าสามารถทำเองได้ ไม่ยากเลยด้วย โดยวิธีที่ผมนำมาเสนอครั้งนี้ก็มีอยู๋ 2 แบบด้วยกัน นั่นคือ ใช้ Windows เอง และ ใช้ Tool จากใน BIOS ครับ

มาพูดถึงวิธีสั้น ๆ กันก่อน นั่นคือ ใช้ Tool จาก BIOS วิธีนี้จะใช้ได้กับเครื่องที่ BIOS รองรับฟังก์ชันนี้เท่านั้นนะครับ โดยมีขั้นตอนการทำ ดังนี้



1. เมื่อเปิดเครื่องขึ้นมา ให้กดปุ่มสำหรับเข้า BIOS ไว้ (อาจจะกดค้างไว้ก็ได้ เอาชัวร์) ซึ่งปุ่มที่ใช้นั้นก็อาจไม่เหมือนกันนะครับ อย่างบางเครื่องอาจเป็น ESC, DEL, F1 หรือ F2

Q: แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะ ?

A: เปิดดูจากในคู่มือที่อาจเป็นเล่ม ๆ หรือเป็นไฟล์ PDF ที่มีให้โหลดจากเว็บผู้ผลิตครับ หรือว่าจะดูจากตอนเปิดเครื่องก็ได้ เพราะมันจะมีหน้าจอขึ้นมาแวบหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นรูปโลโก้ยี่ห้อของเครื่องนั้น ๆ ด้านล่างของโลโก้จะมีข้อความบอกอยู่ประมาณนี้ครับ

 Press xx for enter SETUP

โดยแต่ละเครื่องอาจจะไม่เหมือนกัน ซึ่งเจ้า xx นี่ละคือปุ่มที่ใช้สำหรับเข้าสู่หน้าตั้งค่า BIOS แต่ส่วนใหญ่มักจะดูกันไม่ทัน วิธีที่จะดูก็คือ ขณะที่ขึ้นหน้าโลโก้ให้กดปุ่ม Pause / Break บนคีย์บอร์ดครับ แล้วพอจำได้ก็ค่อยกด Enter หรือ ESC เพื่อไปหน้าต่อไปแล้วแต่ตัว BIOS



2. พอเข้ามาสู่หน้าตั้งค่า BIOS ได้ ก็ลองไล่หาเมนูที่มีคำประมาณว่า Calibrate, Calibration, Battery อะไรทำนองนี้ จากนั้นก็กด Enter เพื่อทำการ Calibrate เลยครับ อย่างของเครื่องผมก็มีเมนูนี้อยู่ครับ “Start Battery Calibration”

ตามปกติแล้วจะต้องมีข้อความเตือนนะครับ ว่าก่อนจะ Calibrate เนี่ย ต้องชาร์จแบตให้เต็มก่อน โดย ตัวโปรแกรมอาจจะจัดการให้ก็ได้ และพอแบตเต็มแล้วจึงค่อยเข้าสู่ช่วงการผลาญแบต โดยหน้าที่ของเราคือถอดปลั๊กไฟออก และปล่อยให้แบตหมดไปเองครับ

3. เมื่อแบตหมดเกลี้ยงแล้ว ก็ปล่อยแบตเอาไว้ซัก 5 ชั่วโมง โดยอาจจะถอดแบตออกมาจากเครื่องแล้วเสียบสาย adapter เพื่อใช้งานคอมก็ได้ครับ

4. เมื่อครบ 5 ชั่วโมงก็ค่อยเสียบแบตเตอรี่เพื่อทำการชาร์จไฟกลับมาให้เป็นปกติครับ

ในการทำครั้งแรกอาจจะยังไม่ค่อยเห็นผลนะครับ อาจจะต้องทำหลายครั้งหน่อยจึงจะเห็นผล อีกวิธีไปดูต่อที่หน้าถัดไปเลยครับ

วิธีการใช้ Windows ในการตั้งค่าเกี่ยวกับแบตเพื่อ Calibrate

หลักการก็เหมือนเดิมครับ แต่คราวนี้เราทำในขณะใช้งาน Windows อยู่ โดยใช้งานให้แบตหมดนั่นเอง แต่ตามปกติแล้ว Windows จะไม่ยอมให้เราใช้แบตจนหมดเกลี้ยง เราจึงต้องไปตั้งค่าอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ ตามขั้นตอนต่อไปนี้เลยครับ (สำหรับ Windows Vista และ Windows 7)




1. เปิดเมนู Power Options ขึ้นมา อาจจะจากใน Control Panel หรือจะคลิกขวาที่สัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ที่ Taskbar ตรงใกล้ ๆ กับนาฬิกาก็ได้ครับ แล้วเลือกที่ Power Options (ควรตั้งค่านี้ตอนที่ใช้ไฟจากแบตอยู่ครับ เพื่อความแน่นอนของรูปแบบในการจัดการพลังงานว่าที่เราจะตั้งค่าไปนี้ มันเป็นรูปแบบที่ Windows จะใช้ตอนทำงานจากแบต)



2. จะมีหน้าต่าง Power Options ขึ้นมาอย่างในรูปด้านล่างนะครับ เราก็เลือกที่ Change plan settings อันที่ตรงกับรูปแบบการจัดการพลังงานที่เราใช้อยู่ (ดูว่าหัวข้อใดที่มีจุดดำ ๆ อยู่ ก็เลือกที่ตรงกับอันนั้นเลยครับ)



3. เริ่มทำการตั้งค่าครับ โดยดูที่หัวข้อ Put the computer to sleep ก่อน โดยตั้งค่าตรงหัวข้อ On battery ให้เป็น Never ครับ

เพื่อไม่ให้มันหลับ เผื่อว่าเราตั้งเครื่องทิ้งไว้เฉย ๆ จากนั้นก็คลิกที่หัวข้อสีฟ้าที่ว่า Change advanced power settings



4. ถึงส่วนสำคัญของการตั้งเวลาแล้วครับ โดยให้ไปดูตรงหัวข้อ Battery ซึ่งหัวข้อที่จะเน้นก็มี 2 ข้อด้วยกัน นั่นคือ

- Critical battery action

ให้ตั้งค่าในส่วน On battery ให้เป็น Do nothing

- Low battery action

ให้ตั้งค่าในส่วน On battery ให้เป็น Do nothing

ซึ่งทั้งสองส่วนนี้จะทำให้เครื่องของเราไม่ดับ เมื่อจำนวน battery เหลือถึงระดับ % ที่กำหนดไว้ในหัวข้อ Low battery level และ Critical battery level ครับ

5. กด OK เพื่อเซฟการตั้งค่าไว้ครับ

6. เตรียมตัวชาร์จแบตไว้ให้เต็ม และถ้าจะทำงานไปด้วยขณะผลาญแบต ก็ขอแนะนำให้เซฟงานเอาไว้เรื่อย ๆ ด้วยนะครับเพื่อความปลอดภัย ถ้าพร้อมแล้วก็….ถอดปลั๊กเลย !!!

7. ใช้ไปเรื่อย ๆ จนแบตหมดครับ พอดับไปแล้วก็ทิ้งแบตไว้ซัก 5 ชั่วโมงเช่นเดียวกันกับวิธีแรก

Conclusion



 การ Calibrate battery นั้นก็มีข้อดี-ข้อเสียตามในหน้าแรกนะครับ เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรทำบ่อยนัก อาจจะสัก 3 ถึง 4 เดือนค่อยทำสักทีก็ได้

เนื่องจากยิ่งทำบ่อย แบตก็ยิ่งเสื่อมเร็วขึ้น เนื่องจาก Cycle (วงรอบในการชาร์จตั้งแต่ 0% ไปจนถึง 100%) ที่ลดน้อยลงไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าทำแล้วพบว่า % ของแบตที่แสดงใน Windows ลดลงก็ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะนั่นแสดงว่ามันได้แสดงค่าที่ถูกต้องแล้ว ให้สังเกตจากระยะเวลาการใช้งานจะดีกว่า

สุดท้ายก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับโน้ตบุ๊กและแบตเตอรี่นะครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


Powered by MySQL Powered by PHP Valid XHTML 1.0! Valid CSS!