TARADTHONG.COM

สมาชิก VIP => General Discussion => ข้อความที่เริ่มโดย: น่ารักสุดๆ ที่ สิงหาคม 10, 2010, 06:46:47 PM



หัวข้อ: 5 เทรนด์ฮิตติดตลาด ของคนรักสุขภาพ
เริ่มหัวข้อโดย: น่ารักสุดๆ ที่ สิงหาคม 10, 2010, 06:46:47 PM
5 เทรนด์ฮิตติดตลาดของคนรักสุขภาพ (Lisa)

         มาอัพเดตเทรนด์ดูแลสุขภาพแบบไฮโซ ๆ กันดีกว่า

 1. ลัลล้ากับ "ทัวร์สุขภาพ"

         จะเป็นทัวร์เกาหลี เซี่ยงไฮ้ หรือที่ไหน ๆ ก็ต้องชิดซ้ายหลบให้เทรนด์ใหม่มาแรง คือ "ทัวร์เพื่อสุขภาพ" ยุคนี้แล้วทุกอย่างจะต้อง"ล้างพิษ" และเราทุกคนควรจะใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น ส่วนคนที่ถามว่า"ถ้าอยากไปทัวร์สุขภาพจะไปที่ไหนดี" หรือคนที่ลองเสิร์ชมาแล้วอาจจะพบว่ามีตัวเลือกทั้งบริษัททัวร์ และสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ดังนั้น ขอแนะนำให้ตัดสินใจตามงบประมาณ เวลาที่มี และกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่บริษัททัวร์จัดให้

 ไปทำอะไรในทัวร์สุขภาพ

         ตรวจร่างกาย - เราต้องรู้จักกับสุขภาพของตัวเองเสียก่อน มักจะเป็นการตรวจสั้นๆ หากความดันโลหิต ปริมาณไขมันในร่างกาย และหาพฤติกรรมเสี่ยง บางครั้งอาจมีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการและการออกกำลัง เพื่อค้นหาวิธีที่เหมาะกับตัวเราด้วย

         อาบแสงตะวัน - การอาบแสงตะวันเพื่อล้างพิษจะใช้ใบตองมาคลุมตัวเราไว้ ทำให้มีแสงสีเขียว เท่านั้นที่ตกต้องผิว แถมกลิ่นอุ่นๆ จากใบตองจะทำให้สดชื่นเป็นอย่างดี วิธีนี้จะเก็บไปทำแถวบ้านก็กระไรอยู่ เพราะกลัวเพื่อนบ้านจะหาว่าเพี้ยนน่ะสิ

         เล่นโยคะ - นาน ๆ ทีเปลี่ยนที่เล่นโยคะให้ใกล้ธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโยคะริมทะเลให้ได้ยินเสียงคลื่นและได้กลิ่นเกลือ ถ้าใครไปต่างประเทศก็อาจมีอากสไปเล่นโยคะรับลมริมหน้าผา หรือจะไปเล่นโยคะกลางป่าเขา ที่เขียวขจีก็สงบเงียบไปอีกแบบ

         ไม่พกมือถือ - มาทัวร์เพื่อสุขภาพร่างกายของตัวเองทั้งที ก็ต้องเก็บความเครียดทิ้งไปเสีย รีสอร์ตเพื่อสุขภาพบางแห่งจะไม่อนุญาตให้แขกใช้โทรศัพท์มือถือในที่สาธารณะ

         รีแลกซ์ - ไม่ว่าจะเป้ฯกิจกรรมอะไรหรือไปที่ไหน จุดประสงค์ของทัวร์เพื่อสุขภาพก็คือการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ทำใจให้สบายและเพลิดเพลินไปกับทริปคือสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ

 2. ตรวจสุขภาพอย่างคนมั่งมี

         การตรวจสุขภาพกลายเป็นวิถีชีวิต อย่างหนึ่งไปแล้วสำหรับคนทุกเพศทุกวัย แต่การตรวจนั้นแตกต่างกันตรงที่ยิ่งตรวจละเอียดเท่าไหร่ ราคาก็จะยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น โดยแพ็กเกจประหยัดที่สุดจะมีราคาอยู่ที่พันต้นๆ ซึ่งจะตรวจสุขภาพทั่วไป เอ็กซเรย์ปอดกับหัวใจ ตรวจหาน้ำตาลในเลือด และตรวจปัสสาวะเป็นพื้นฐาน พอตรวจเสร็จก็รู้กันว่าโอ.เค. เรามีคอเลสเตอรอลสูงนะ หรือว่าระดับน้ำตาลเราจวนเจียนจะเป็นเบาหวานแล้ว ส่วนแพ็กเกจราคาแพงก็เรียกได้ว่าตรวจกัน ตั้งแต่ระดับเซลล์ไปจนถึงฟัน ตรงนี้เราอาจจะต้องเช็กราคากันดีๆ เพราะแพ็กเกจประหยัดของโรงพยาบาล บางที่จะไม่รวมการตรวจไวรัสตับอักเสบไว้ด้วย และการจะเลือกตรวจสุขภาพ แพ็กเกจใดก็ขึ้นอยู่กับวัยของคนที่ไปตรวจ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องเลือกแพ็กเกจที่ราคาแพงที่สุดเสมอค่ะ

         เห็นราคาแล้วบางคนอาจจะขนหัวลุก แต่ถ้านี่เป็นราคาของชีวิตก็คงคุ้มค่าอยู่ เช่น แพ็กเกจระดับเพชร สำหรับผู้หญิงที่โรงพยาบาลปิยะเวทซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก แต่เราก็ตรวจได้ทุกอย่าง รวมถึงการตรวจสุขภาพโดยแพทย์เฉพาะทางด้านโรคหัวใจ กระดูกและข้อสูตินรีเวช ตรวจหามะเร็งตับ รังไข่ ลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก อัลตร้าซานด์เต้านม ส่องกล้องกระเพาะอาหาร วัดค่าสารอนุมูลอิสระในร่างกาย ฯลฯ รับรองได้ว่าถ้าผ่านคอร์สนี้แล้ว ไม่เจออะไรก็แสดงว่าคุณเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ สำหรับคนที่เจอความผิดปกติก็นับว่าดีแล้วที่เราจะได้รักษาทัน เพื่อให้ชีวิตยืนยาวแข็งแรงต่อไป ส่วนคนที่เสียเงินเป็นหมื่นไปตรวจสุขภาพ แต่ไม่ยอมดูแลตัวเองให้แข็งแรงขึ้น เขาเรียกว่า"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ"...

 3. สเต็มเซลล์...จากชีวิตสู่ชีวิต

         สเต็มเซลล์ คือเซลล์เริ่มต้นที่ประกอบเป็นร่างกายของเราทั้งหมด เมื่อโตขึ้นเซลล์เหล่านี้ จะกบดานอยู่ภายในเพื่อรอวันที่จะเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อต่างๆ จนกล่าวได้ว่ามันคือกลไกสุดยอดตามธรรมชาติในการฟื้นฟูร่างกาย

         ด้วยคุณสมบัติมหัศจรรย์ การเก็บรักษาเซลล์ต้นกำเนิดจึงอยู่ใน "To-Do List" ของว่าที่คุณแม่ และกลายเป็นอีกเทรนด์หนึ่งที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด สำหรับคนที่วางแผนจะใช้ชีวิตอีกยาวนาน

 ลงทุน...เผื่ออนาคต

         การเก็บรักษาสเต็มเซลล์ถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เมื่อคิดว่ารับประกันสุขภาพ "ตลอดชีวิต" แล้วก็คงจะไม่แพงเกินไปนัก ซึ่งค่าใช้จ่ายการเก็บรักษาตลอดชีวิตอาจอยู่ที่ 130,000 บาท ส่วนผู้ใหญ่ที่เก็บจากโพรงประสาทฟันหรือการเก็บจากกระแสโลหิต จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 180,000 บาท แต่ทั้งนี้สเต็มเซลล์อาจมีอายุการเก็บแค่ 20 ปีเท่านั้นนะคะ

 แล้วเขาเก็บไว้ทำอะไรกันบ้าง? ปัจจุบันมีการนำมารักษาโรคต่างๆ ได้แก่

•กลุ่มโรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

•กลุ่มโรคไขกระดูกฝ่อ

•กลุ่มโรคเลือด ได้แก่ ธาลัสซีเมีย และ Hemoglobinopathies

         ไม่เพียงแค่นี้หรอกนะ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าในอนาคตอาจนำมาใช้รักษาอาการต่างๆ อย่างสโตรก อัลไซเมอร์ หูหนวก เบาหวาน กระดูกไขสันหลังบาดเจ็บ หรือแม้แต่ปลูกผมกับฟันหลอก็อาจแก้ไขได้...ยาวิเศษจริง ๆ นะเนี่ย

 4. อาหารออร์แกนิก

         เทรนด์อาหารเกษตรอินทรีย์มาแรงเป็นพักๆ เฉพาะเวลาที่มีคนห่วงใยสุขภาพกับช่วงที่เราห่วงโลกร้อน ทั้งที่ดีแสนดีปราศจากสารเคมี แต่ไม่ค่อยมีคนสนใจกัน ก็เพราะสนนราคาที่แพงจนทำให้คนเดินดินปลงชีวิต ยอมกินของธรรมดาก็ได้ โดยอาหารออร์แกนิกส่วนใหญ่ มักจะมีราคาแพงกว่าของธรรมดา 50-100% สมมติว่าเนื้อวัวราคาปัจจุบันอยู่ที่กิโลกรัมละ 160 บาท เนื้อวัวออร์แกนิกอาจวางขายที่ 240-320 บาทเป็นต้นไป (โดยไม่นับเนื้อวัวนำเข้าอื่นๆ)

         อาหารออร์แกนิกรวมถึงผลไม้ปราศจากยาฆ่าแมลง ปุ๋ยสังเคราะห์ เนื้อจากสัตว์ที่เลี้ยง โดยปราศจากยาปฏิชีวนะหรือการให้ฮอร์โมนเพิ่มเติมใดๆ โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เปิดเผยว่า เนื้อวัวออร์แกนิกจะมีไขมันน้อย มีโปรตีนสูง และให้วิตามินสำคัญอย่างบี 1 บี 6 บี 12 เอ ดี อี เค และซี นอกจากนี้ ยังเคยมีการทดลองให้อาสาสมัครปิดตาชิมแอปเปิ้ล ผลก็คือแอบปเปิ้ลออร์แกนิกมีรสชาติดีกว่าจริงๆ...ถ้าไม่เชื่อก็คงต้องลองเองแล้วล่ะ

 ส่วนฉลากออร์แกนิกให้เป็น

         "ออร์แกนิก 100%"

         รับประกันได้ว่าส่วนผสมทุกอย่างเป็นอาหารปลอดสาร แต่มีน้ำและเกลือเป็นส่วนประกอบได้

          "ออร์แกนิก"

         ลดความเป็นออร์แกนิกลงมาอยู่ที่ 95% แต่วางใจได้เพราะไม่มีซัลไฟต์ซึ่งเป็นสารกันบูดตัวร้ายที่จะกระตุ้นโรคภูมิแพ้และหอบหืดแน่นอน นอกจากนั้นก็อาจมีของสังเคราะห์หรืออาหารที่ไม่ใช่ออร์แกนิกได้ 5%

 "ผลิตจากวัตถุดิบออร์แกนิก"

         ทำมาจากของออร์แกนิกก็จริง แต่อาจไม่ใช่อาหารปลอดสาร โดยฉลากแบบนี้บ่งบอกว่าอาจมีส่วนผสมที่ไม่ใช่ออร์แกนิกได้ถึง 30% เชียวนะ

 5. ไครโอนิกส์...โกงความตายด้วยตู้เย็น

         เทรนด์เย็นจัดนี้อาจจะยังมาไม่ถึงเมืองไทย ด้วยเหตุผลในเรื่องของเทคโนโลยี แต่ในอนาคตอันใกล้ เราอาจเห็นคนตกลงใจเข้าตู้แช่เย็น เพื่อเก็บรักษาร่างกายหลังจากหัวใจหยุดเต้นไปแล้ว เพื่อรอวันหนึ่งที่จะฟื้นชีวิตขึ้นมาได้เหมือนเดิม ด้วยเทคนิคชื่อว่า "ไครโอนิกส์" ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเย็นยะเยือก

         การมีชีวิตในโลกอนาคตดู เหมือนจะเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับชนชั้นกินส้มตำอย่างพวกเราโดยสมาคม American Cryonics Society มีแพ็กเกจสุดคุ้มรักษาทั่วเรือนร่างคิดเป็น 155,000 เหรียญ หรือเกือบ 5 ล้านบาท (นี่ยังไม่ได้คิดค่ารักษา"สถานภาพสมาชิก" ต่อปีนะ) ซึ่งถ้าใครงบไม่ถึงก็อาจจะเก็บเฉพาะส่วนศีรษะ ซึ่งมีระบบประสาทส่วนกลาง เผื่อสักวันหนึ่งจะมีเทคโนโลยีย้ายร่างวิธีการนี้ มูลนิธิ Alcor เขาขอค่าใช้จ่ายประมาณ 80,000 เหรียญเท่านั้น พอดีเป็นเงินไทยแล้วอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท...แถวบ้านเขาเรียกว่าเศษเงิน!

 ไม่การันตีผล

         คำถามของกระบวนการนี้อยู่ที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้ว คนคนนั้นจะเหมือนเดิมรึเปล่า? สมมติว่าเทคโนโลยีในอนาคตรักษาโรคได้ แล้วการฟื้นฟูร่างกายของคนแช่แข็งล่ะ? จะแข็งแรงเหมือนเดิมมั้ย? ซึ่งปัญหาของไครโอนิกส์อยู่ตรงที่ว่า หลายครั้งมีการเก็บรักษาร่างหรือสมองช้าเกินไป หรืออยู่ในภาวะที่ไม่เหมาะสมนัก การแช่แข็งจะต้องเริ่มตั้งแต่ 1-2 นาทีหลังจากหยุดหายใจ และไม่เกิน 15 นาที ก่อนที่เซลล์และสารเคมีต่าง ๆ ในร่างกายจะแตกสลายจนไม่มีเทคโนโลยีไหนสามารถฟื้นฟูกลับคืนได้ ยังไงก็ต้องรับความเสี่ยงอยู่ดี...

 บริจาคสเต็มเซลล์...เทรนด์ฮอตๆ ของคนใจดี!

         ไม่จำเป็นต้องมีเงินถุงเงินถัง เพียงมีจิตใจดีก็พอแล้ว คุณผู้อ่านที่สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว และอายุระหว่าง 18-50 ปี ก็สามารถร่วมช่วยเหลือผู้อื่นได้ ด้วยการบริจาคเซลล์ต้นกำเนิดบางคนสงสัยว่า"เซลล์ของเราบริจาคให้คนอื่นได้ด้วยเหรอ?" คำตอบก็คืออาจจะหาคนที่มี HLA ตรงกับเรายากหน่อย โอกาสอยู่ที่ 1 ใน 10,000 แต่ถ้าผู้ป่วยโชคดี เขาก็จะหาเราเจอแม้ว่าอยู่กันคนละประเทศก็ตาม

         ถ้าใครสนใจลงทะเบียนเป็นผู้บริจาคเซลล์ต้นกำเนิด อาจต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มาสภากาชาดไทย เพราะการลงทะเบียนจะจำกัดอยู่เฉพาะกรุงเทพฯ และปริมาณฑลเท่านั้น รู้มั้ยว่าในบ้านเรามีผู้ลงทะเบียนบริจาคมากกว่า 80,000 คน และก็มีผู้ได้รับบริจาคแล้วถึง 50 ราย...นับว่าเป็นเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องบอกต่อ ฮิ้ว!


 Did You Know?

         ในปี 2004 มูลนิธิ Friend of Earth เปิดเผยว่ามีเด็กๆ ประมาณ 220 คน ต่อวัน ที่เจอกับยาฆ่าแมลงมากเกินไปจากการกินแอปเปิ้ล