หัวข้อ: CIA เผยผลตรวจ DNA ยัน เป็นศพ บินลาดิน เริ่มหัวข้อโดย: น่ารักสุดๆ ที่ พฤษภาคม 03, 2011, 07:30:19 AM CIA เผยผลตรวจ DNA ยัน เป็นศพ บินลาดิน
ข่าวต่างประเทศรายงานโดยอ้าง คำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่ระบุถึงผลการตรวจดีเอ็นเอ โดยยืนยันว่า นายอุซามะห์ บิน ลาเดน แกนนำกลุ่มอัลกออิดะห์ เสียชีวิตจริง โดยนำดีเอ็นเอไปเปรียบเทียบกับสมองของพี่สาวบินลาดินที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่รายงานไม่ได้ระบุถึงเวลาและสถานที่ในการตรวจดีเอ็นเอแต่อย่างใด รู้จัก'อัยมาน ซอวาฮิรี'ผู้ที่จะก้าวขึ้นมาแทนที่'บิน ลาดิน' เอเอฟพี - ไม่น่ามีปัญหา คนที่จะก้าวขึ้นสู่ฐานะการเป็นผู้ถูกหมายหัวต้องการตัวเป็นอันดับหนึ่งของโลก สืบต่อจากอุซามะห์ บิน ลาดิน คงจะเป็นบุรุษหมายเลขสองของอัลกออิดะห์ในเวลานี้ ซึ่งก็คือ อัยมาน อัล ซอวาฮิรี (Ayman al-Zawahiri) ศัลยแพทย์ชาวอียิปต์ผู้ได้รับการจับตามองว่าเป็นจอมบงการตัวจริงของเครือข่ายก่อการร้ายเขย่าโลกกลุ่มนี้ด้วยซ้ำ ซอวาฮิรี ก็เฉกเช่นเดียวกับ บิน ลาดิน ต้องหลบเร้นซ่อนตัวนับตั้งแต่ที่สหรัฐฯประกาศทำสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ภายหลังเหตุวินาศกรรมในวันที่ 11 กันยายน 2001 แต่ขณะที่ สหายชาวซาอุดีอาระเบียของเขาถูกหน่วย “ซีลส์” หน่วยทหารปฏิบัติการพิเศษแห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ จู่โจมปลิดชีพไปแล้วในช่วงคืนวันอาทิตย์(1) ต่อกับก่อนเช้ามืดวันจันทร์(2) ซอวาฮิรียังดูเหมือนจะสามารถหลบหนีลอยนวล ด้วยทักษะทางด้านการจัดตั้งองค์การ, ความเจ้าเล่ห์หลักแหลม, และการข่าวที่ว่ากันว่าเหนือกว่าบิน ลาดิน เสียอีก รายงานสุดท้ายที่มีผู้พบเห็นซอวาฮิริตัวเป็นๆ ก็คือในเดือนตุลาคม 2001 ที่บริเวณภาคตะวันออกของอัฟกานิสถาน ใกล้ๆ กับพรมแดนปากีสถาน แต่หลังจากนั้นมาเขาก็ได้ปล่อยวิดีโอหลายต่อหลายชุดจากที่ซ่อนตัวของเขา โดยมีเนื้อหาปลุกระดมให้ทำสงครามกับฝ่ายตะวันตก ขณะที่ บิน ลาดิน ถูกมองว่าเป็นแรงบันดาลใจของอัลกออิดะห์ ซอวาฮิรีก็ถูกจับตาว่าเป็นมันสมองตัวจริงในการชี้นำการปฏิบัติการต่างๆ ซึ่งรวมทั้งการโจมตีสหรัฐฯในเหตุการณ์ 11 กันยายนด้วย และดังนั้นจึงมีผู้เสนอความเห็นว่า บุคคลผู้นี้เป็นผู้มีอันตรายมากกว่า อดีตศัลยแพทย์ผ่าตัดตาวัย 59 ปีผู้นี้ ถูกตั้งค่าหัวเอาไว้ 25 ล้านดอลลาร์ เขามีตำแหน่งเป็นนักยุทธศาสตร์ตัวหลักและที่ปรึกษาแนะนำคนสำคัญของ บิน ลาดิน โดยที่ในบัญชีผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดของสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ยังระบุด้วยว่า เขาเป็นหมอส่วนตัวที่คอยดูแลรักษา บิน ลาดิน อีกด้วย ขณะที่ บิน ลาดิน หายไปจากสายตาของสาธารณชนภายหลังปี 2004 ก็มักจะเป็น ซอวาฮิรี นี่เองซึ่งเป็นผู้ออกมาปลุกเร้าเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่สาวกผู้ติดตาม ด้วยการปรากฎตัวในวิดีโอชุดแล้วชุดเล่า ซอวาฮิรีน่าจะได้พบกับบิน ลาดินเป็นครั้งแรก เมื่อตอนที่นักรบอิสลามจำนวนนับพันนับหมื่นจากทั่วโลกพากันหลั่งไหลเข้าไปยังอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษ 1980 เพื่อทำ “ญิฮัด” หรือสงครามศักดิ์สิทธิ์ กับกองทหารสหภาพโซเวียต ตัวซอวาฮิรี ก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะดีเหมือนๆ บิน ลาดิน แตกต่างกันตรงที่ครอบครัวบิน ลาดิน คือนักธุรกิจเต็มขั้น แต่บิดาของซอวาฮิรีเป็นแพทย์ชาวอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง นอกจากนั้น ญาติผู้ใหญ่ในชั้นปู่ของเขาคนหนึ่งยังเป็นหัวหน้าอิหม่ามคนหนึ่งในสถาบันอัล อัซฮัร (Al-Azhar) แห่งกรุงไคโร ซึ่งถือเป็นสถาบันการศึกษาฝ่ายอิสลามที่ได้รับความเคารพยอมรับมากที่สุดของพวกมุสลิมนิกายสุหนี่ เขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับชุมชนมุสลิมหัวรุนแรงของอียิปต์ตั้งแต่ยังอยู่ในวัยเยาว์ และมีรายงานว่าเคยถูกจับกุมตั้งแต่อายุ 15 ปี ด้วยข้อหาเป็นสมาชิกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ซึ่งเป็นกลุ่มอิสลามเคร่งจารีตที่เก่าแก่ที่สุดของโลกอาหรับ แต่ได้ถูกทางการอียิปต์ตีตราเป็นองค์กรนอกกฎหมาย ซอวาฮิรีได้จัดพิมพ์หนังสือหลายๆ เล่ม และการศึกษาหลายๆ ชิ้นว่าด้วยแนวความคิดแบบอิสลามเคร่งจารีต ซึ่งสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว แนวความคิดเช่นนี้ถือเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการชาวอิสลามหัวรุนแรง เขาแต่งงานมีครอบครัวในปี 1979 และก็เข้าศึกษาทางการแพทย์ในกรุงไคโร จนสำเร็จเป็นศัลยแพทย์ ซอวาฮิรีถุกจำคุกเป็นเวลา 3 ปีในอียิปต์ด้วยข้อหาเป็นพวกมุสลิมหัวรุนแรง และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนลอบสังหารประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ในปี 1981 ภายหลังพ้นโทษ เขาได้เดินทางออกจากอียิปต์ในช่วงกลางทศวรรษ 1980 โดยในช่วงแรกไปอยู่ที่ซาอุดีอาระเบีย แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็บ่ายหน้าไปยังเมืองเปชวาร์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของปากีสถาน และก็เป็นฐานใหญ่ของฝ่ายต่อต้านสหภาพโซเวียตที่ส่งทหารเข้าไปยึดครองอัฟกานิสถาน เขาทำงานเป็นแพทย์ที่คอยรักษานักรบที่บาดเจ็บ และเข้าพัวพันคบหากับพวกอิสลามหัวรุนแรงชาวอาหรับซึ่งหลั่งไหลมาเข้าร่วมสงคราม “ญิฮัด” คราวนี้ โดยที่ 1 ในจำนวนนี้ก็คือ บิน ลาดิน ช่วงต้นทศวรรษ 1990 เชื่อกันว่าซอวาฮิรีไปพำนักอยู่ในยุโรป ก่อนที่จะมีการเชื่อมโยงอีกครั้งกับ บิน ลาดิน ในซูดาน หรือไม่ก็ในอัฟกานิสถาน เขาถูกจับในปี 1996 ขณะอยู่ในรัสเซีย โดยที่ดูเหมือนว่าเขากำลังพยายามที่จะระดมหานักรบญิฮัดเพื่อทำศึกช่วยเชชเนียแยกตัวจากรัสเซีย ในปี 1998 เขาเป็น 1 ใน 5 ผู้ร่วมลงนามในข้อบัญญัติทางศาสนา (ฟัตวา) ของ บิน ลาดิน ที่เรียกร้องให้ทำการโจมตีพลเรือนอเมริกัน จากนั้นเขาก็เริ่มปรากฏตัวเคียงข้างผู้นำอัลกออิดะห์ผู้นี้อย่างสม่ำเสมอ เขาถูกระบุเป็นจำเลยผู้หนึ่งในคำฟ้องของรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าด้วยเหตุระเบิดสถานทูตสหรัฐฯในเคนเยาและในแทนซาเนียเมื่อปี 1998 นอกจากนั้นในอีก 1 ปีต่อมา เขายังถูกศาลอียิปต์ตัดสินลงโทษประหารชีวิตโดยที่มิได้ไปปรากฏตัวในระหว่างการพิจารณาคดี เมื่อกำลังทหารที่นำโดยสหรัฐฯเข้าโค่นล้มระบอบปกครองตอลิบานในอัฟกานิสถานตอนเช่วงปลายปี 2001 เขาก็เป็นผู้นำอัลกออิดะห์ผู้หนึ่งที่ต้องหลบซ่อนเร้นกาย เขากับ บิน ลาดิน ได้ออกวิดีโอเผยแพร่สู่โลกภายนอกจำนวนหนึ่ง หลายครั้งที่แสดงให้เห็นทั้งคู่นั่งอยู่เคียงข้างกัน โดยที่มีอยู่ชุดหนึ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขากำลังเดินไปบนภูเขาอันรกร้างห่างไกล ในเดือนมกราคม 2006 มีรายงานว่าซอวาฮิรีสามารถหลบรอดการโจมตีด้วยขีปนาวุธของสหรัฐฯที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ชาวชนเผ่าอันห่างไกลของปากีสถาน การโจมตีคราวนั้นทำให้มีคนอื่นๆ เสียชีวิตไป 18 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ปฏิบัติการของอัลกออิดะห์ 4 คน และเป็นพลเรือนจำนวนมาก เมื่อเดือนธันวาคม 2001 มีรายงานหลายกระแสระบุว่า ภรรยา, บุตรชายคนหนึ่ง, และบุตรสาวอีก 2 คน ของซอวาฮิรี ได้ถูกสังหารจากการโจมตีทางอากาศของสหรัฐฯต่อเมืองกันดาฮาร์ ในอัฟกานิสถาน ทั้งนี้ในขณะนั้นสหรัฐฯกำลังอยู่ระหว่างการปฏิบัติการทางทหารเพื่อโค่นล้มระบอบตอลิบาน ฮามิด มีร์ นักหนังสือพิมพ์และนักวิเคราะห์ชาวปากีสถาน ผู้ซึ่งได้พบกับซอวาฮิรีในปี 1998 และ 2001 ระบุว่า ต่อมาซอวาฮิรีได้แต่งงานใหม่ และได้บุตรสาวจากภรรยาใหม่ของเขาเมื่อตอนปลายปี 2005 |