หัวข้อ: ตะลึง! อาเซียนแข่งกันซื้ออาวุธ อินเดียนำโด่ง เริ่มหัวข้อโดย: น่ารักสุดๆ ที่ มีนาคม 15, 2011, 09:57:58 PM ตะลึง! อาเซียนแข่งกันซื้ออาวุธ อินเดียนำโด่ง
SIPRI วิตกอาเซียนแข่งซื้ออาวุธ (ไทยโพสต์) สถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพชื่อดังจากสวีเดน ออกรายงานประจำปีสรุปความเคลื่อนไหวด้านการซื้อขายอาวุธทั่วโลกรอบ 5 ปี ชี้ประเทศกำลังพัฒนากระหน่ำซื้ออาจกระตุ้นการแข่งขันด้านอาวุธในพื้นที่ให้ตึงเครียด เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่น้อยหน้า สามชาติช่องแคบมะละกาช้อปกระจาย ผู้เชี่ยวชาญหวั่นบั่นทอนเสถียรภาพ แถมบ่อนทำลายสันติภาพที่ยืนยาวมาหลายทศวรรษ สถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (SIPRI) หน่วยงานคลังสมองอิสระจากสวีเดน ที่ศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องความมั่นคงระหว่างประเทศ, การสั่งสมอาวุธและการลดอาวุธทั่วโลก กล่าวในรายงานประจำปีซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ที่ 15 มีนาคม ว่าการซื้อขายอาวุธทั่วโลกช่วงปีพ.ศ. 2548-2552 เพิ่มขึ้นจากช่วงปีพ.ศ. 2543-2547 ถึง 22 เปอร์เซ็นต์ โดยอาวุธที่ประเทศต่าง ๆ ซื้อกันมากคือเครื่องบินรบ คิดเป็น 27 เปอร์เซ็นต์ของอาวุธทั้งหมด โดยสหรัฐฯ ยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดในโลกถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยรัสเซีย 27 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจีนและอินเดียเป็นผู้นำเข้าอาวุธตามแบบรายใหญ่สุด แต่หากแยกเป็นภูมิภาค ทวีปเอเชียและเขตโอเชียเนียนำเข้าอาวุธมากสุด คิดเป็น 41 เปอร์เซ็นต์ ยุโรปตามมาที่ 24 เปอร์เซ็นต์ และภูมิภาคตะวันออกกลาง 17 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ในกลุ่ม 10 ประเทศที่นำเข้าอาวุธมากที่สุด มีชาติน้องใหม่ด้วย 2 ชาติคือ สิงคโปร์และแอลจีเรียอยู่ที่อันดับ 7 และ 9 ตามลำดับ รายงานชี้ว่า ข้อมูลล่าสุดนี้ก่อความวิตกกังวล เกี่ยวกับการแข่งขันกันด้านอาวุธในภูมิภาคที่ความตึงเครียดคุกรุ่นอยู่ ทั้งในตะวันออกกลาง, แอฟริกาเหนือ, อเมริกาใต้, เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พอล ฮอลทอม ผู้อำนวยการโครงการเคลื่อนย้ายอาวุธของสถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม ได้กล่าวว่า ประเทศที่รุ่มรวยทรัพยากร คือพวกที่สร้างเทรนด์ด้วยการนำเงินรายได้ไปซื้อหาฝูงบินรบราคาแพง ซึ่งส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านตอบโต้ด้วยการสั่งซื้อบ้าง "ใครสักคนอาจตั้งคำถามว่า มันเป็นการจัดสรรทรัพยากรอย่างเหมาะสมหรือไม่ สำหรับภูมิภาคที่มีระดับความยากจนสูง" เขาเสริม ในส่วนของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีรายงานเผยว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการสั่งสมอาวุธเพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด เมื่อเทียบกับระยะ 5 ปีก่อนหน้านั้น โดยมาเลเซียนำเข้าอาวุธเพิ่มขึ้น 722 เปอร์เซ็นต์ ตามด้วยสิงคโปร์ 146 เปอร์เซ็นต์ และอินโดนีเซีย 84 เปอร์เซ็นต์ ซีมอน วีเซอแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียของสถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม กล่าวในรายงานว่า กระแสของการแสวงหาอาวุธในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน อาจกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ และก่อกวนช่วงเวลาหลายสิบปีแห่งความสงบสันติ ด้าน สิงคโปร์, มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ซึ่งมีดินแดนติดช่องแคบมะละกา ได้เพิ่มการลาดตระเวนทางทะเลเพื่อคุ้มครองเส้นทางเดินเรือสำคัญในเดือนนี้ ภายหลังกองทัพเรือสิงคโปร์ได้เบาะแสว่ากลุ่มก่อการร้ายมีแผนโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน ทั้งนี้ สถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์มแถลงว่า การที่สามประเทศนี้ซื้อเครื่องบินรบที่บินได้ระยะทางไกล รวมถึงเรือรบ เป็นการกระตุ้นให้ประเทศเพื่อนบ้านคิดหาซื้อบ้าง โดยเวียดนามเป็นชาติล่าสุดที่เสริมเขี้ยวเล็บของตน ด้วยการสั่งซื้อเครื่องบินรบบินระยะไกลและเรือดำน้ำเมื่อปีที่แล้ว กรณีของสิงคโปร์ ปริมาณการนำเข้าอาวุธช่วงปีพ.ศ. 2548-2552 ทำให้ประเทศเกาะเล็ก ๆ ชาตินี้ เป็นสมาชิกอาเซียนชาติที่ติดท็อปเท็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่สุด นับแต่สิ้นสุดสงครามเวียดนาม ทั้งนี้ ฐานข้อมูลการเคลื่อนย้ายอาวุธของสถาบันค้นคว้าวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม เป็นการรวบรวมเฉพาะอาวุธตามแบบขนาดใหญ่ เช่น เครื่องบิน, ยานหุ้มเกราะ, ปืนใหญ่, เซ็นเซอร์, มิสไซล์, เรือ และระบบป้องกันมิสไซล์ โดยไม่นับอาวุธขนาดเล็ก เช่น ปืนเล็ก, เครื่องกระสุน, รถบรรทุก และอาวุธเบาเกือบทั้งหมด |